วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

11th assignment : Classification Writing


Classification Writing






          Animals are classified into 2 group : vertebrates and invertebrates. Examples of vertebrates are reptiles, birds , fish , mammals and amphibians. Examples of  invertebrates are protozoa , coelenterates , flatworms , annelid worms , molluscs , echinoderms and arthropods. And last examples of arthropods are arachnids , crustaceans , insects and myriapods






Home work ^^




                    Bio-metrics can be classified into 2 types : physiological and behavioral. 
The first examples of physiological are face , fingerprint , hand iris and DNA.
And last examples of behavioral are keystroke , signature and voice.









***ไม้ได้ copy ใครมานะครับ แต่ที่ันขึ้นพื้นหลังสีขาวหลังตัวหนังสือไม่รู้เพราะอะไร งง มากอ่ะครับ***




วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

Compound sentence


Compound sentence



Compound sentence แปลว่า อเนกัตถประโยค หมายถึงที่มี simple sentence 2 ประโยคมารวมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้โดยเชื่อด้วย co-ordinator เป็นแกนนำอันสำคัญ

ตัวอย่าง เช่น เป็น simple sentence เพราะแยกกันอยู่
He is poor he is honest.
เขายากจน เขาซื่อสัตว์
เป็น compound sentence เพราะมีตัวประสานมาเชื่อม
Hi is poor but he is honest
เขายากจนแต่เขาก็ซื่อสัตว์
ดังนั้น ตัวประสานที่มาเชื่อมเพื่อเป็น compound sentence ได้แก่
1. เครื่องหมายวรรคตอน ( punctuation )
2. วิเศษณ์เชื่อม (conjunctive adverb)
3. สันธานประสาน (co-ordinate conjunction )


การเชื่อมด้วยเครื่องหมายวรรคตอน
เครื่องหมายวรรคตอนที่นิยมนำมาใช้เชื่อม Simple Sentence เพื่อให้เป็น Compound Sentence มีดังต่อไปนี้
Semi- colon (;)
Colon (:)
Dash (-)
Comma (,)

Semi- colon (;) ใช้ประโยคในกรณีที่ผู้เขียนยังรู้สึกไม่อยากขึ้นต้นประโยคใหม่ เพราะเห็นว่าใจความยังต่อเนื่องคาบเกี่ยวกันอยู่ ซึ่งก็เป็นความรู้สึกของผู้เขียนประโยคนั้นเท่านั้น ผู้เขียนคนอื่นอาจรู้สึกเป็นอย่างอื่น และอาจจะใช้ period (.) แทน semi_colon ขึ้นต้นประโยคใหม่ก็ได้

ตัวอย่าง

Daeng was sick ; he didn,t work yesterday.
= Daeng was sick. He didn work yesterday.
แดงไม่สบาย เขาไม่ทำงานเมื่อวาน

Colon (:) และ Dash (-) 2 เครื่องหมายอันนี้ใช้เชื่อมในกรณีที่เขียนเห็นว่าผลของประโยคหลังมีสาเหตุมาจากประโยคข้างหน้าโดยแท้ เช่นจากตัวอย่างข้างบนถ้าผู้เขียนเห็นว่า การที่แดงไม่ทำงานเมื่อวานนี้ก็เป็นผลโดยตรงจากการไม่สบาย ก็อาจใช้ colon หรือ dash มาเชื่อมแทนได้

ตัวอย่าง

Daeng was sick : he didn t work yesterday.
หรือ Daeng was sick - he didn t work yesterday.
= Daeng was sick ; he didn t work yesterday.
= Daeng was sick . he didn t work yesterday.


Comma(,)เครื่องหมายอันนี้นิยมใช้เชื่อมในกรณีผู้เขียนเห็นว่า เหตุการณ์ที่กล่าวถึงนั้นถ้าจะขึ้นต้นประโยคใหม่ก็จะทำให้ขาดความต่อเนื่อง ทำให้เสียภาพพจน์ของเหตุการณ์จึงจำเป็นต้องใช้ comma เชื่อมเพื่อรักษาความต่อเนื่องเอาไว้ (แทนที่จะขึ้นต้นประโยคใหม่)


การเชื่อมด้วย conjunctive abverb

Conjunctive Abverb (คำวิเศษเชื่อม) Simple Sentence เพื่อให้เป็น Compound Sentence นั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

1. ชนิดคำที่มีลักษณะเป็นการเติมเข้ามาเพื่อเน้นให้ผู้อ่านผู้ฟังได้ฉุกคิด หรือเน้นให้เห็นข้อสังเกตได้ชัดขึ้น ได้แก่คำในทำนองต่อไปนี้คือ

However อย่างไรก็ตาม moreover ยิ่งกว่านั้น
Furthermore ยิ่งกว่านั้น consequently ดังนั้น
Nevertheless อย่างไรก็ดี accordingly เพราะฉะนั้น
Meanwhile ระหว่างนี้ therefore ดังนั้น

ตัวอย่าง

- john was sick ; he did go to school.
จอห์นไม่สบาย แม้กระนั้นเขาก็ยังไปโรงเรียนได้

-Amnat had a bad cold ; therefore , he didn t work.
อำนาจเป็นไข้หวัด ดังนั้นเขาจึงไม่ทำงาน

-She was tired and thisrsty ; moreover , she wariness cold.
หล่อนเหนื่อยและกระหายน้ำ ยิ่งกว่านั้นก็ยังหนาวอีกด้วย

-I don know this ; nevertheless, I don trust him.
ผมไม่รู้จักชายนี้ ยิ่งกว่านั้นผมก็ไม่ไว้วางใจเขาอีก

-My friend has stayed with me at home for a long time ; meanwhile,I take him to see Wat Po.
เพื่อนของผมได้มาพักอยู่กับผมที่บ้นเป็นเวลานาน ระหว่างนี้ผมได้พาเขาไปชมวัดโพธิ์


2.ชนิดที่มีความหมายเป็น Transitional word (คำที่มีความหมายเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง) ซึ่งมีความหมายอ่อนลงมามาก จนอาจใช้เสมือนเป็น Adverd ธรรมดา หรือเหมือนคำ Conjunctive ธรรมดา ได้แก่คำในทำนองต่อไปนี้ คือ
Otherwise มิฉะนั้น thus ดังนั้น
Still ยังคง hence ดังนั้น
Yet ยัง เช่น :-
(คำจำพวกนี้ใช้ comma คั่นข้างหน้า ข้างหลังไม่ต้องมีอะไร)

ตัวอย่าง

-Do what you are told , otherwise you de punished.
จงทำอย่างที่เขาบอกให้ทำ มิฉะนั้นคุณจะถูกทำโทษ

-There is no rain in the country hence the crops are likely to die.
ไม่มีฝนเลยในประเทศนี้ ดังนั้นพืชพันธ์จึงจวนจะตาย

-David was sick thus he went to see a doctor.
เดวิดไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ

-He worked very still he didn’t complain.
เขาทำงานหนักมาก แต่เขาก็ไม่บ่น

อนึ่ง conjunctive adverb ที่กล่าวมานี้ จะใช้เชื่อมควบคู่กับสันธาร co-ordinate conjunction ตัวอื่นก็ได้
ตัวอย่าง

-Do what you ard told or otherwise you be punished.
จงทำอย่างที่ขาให้ทำ หรือมิฉะนั้นแล้วคุณจะถูกทำโทษ
(otherwise ใช้เชื่อมควบคู่กับ oR)

-David was sick and thus he went to see a doctor.
เดวิดไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ
(thus ใช้เชื่อมควบคู่กับ and)


การเชื่อมด้วย co-ordinate conjunction
co-ordinate conjunction (สันธานประสาน) ที่นำมาใช้เชื่อมประโยค simple sentence เพื่อให้ เป็นcompound sentence (ประโยครวม)นั้นแบ่งออกเป็น4 ชนิด หรือ 4 แบบ คือ
1.แบบรวม ( Cumulative ) ได้แก่ and และคำเทียบเท่า
2. แบบเลือก ( disjunctive )ได้แก่ or และคำเทียบเท่า
3.แบบแยก (adversative ) ได้แก่ but และคำเทียบเท่า
4.แบบเหตุผล (Illative) ได้แก่ so และคำเทียบเท่า


1.1 แบบรวมได้แก่ and และคำที่มีความหมายคล้าย and (the cumulative and - type)ที่นำมาใช้เชื่อมเพื่อให้เป็น compound sentence ได้แก่คำต่อไปนี้คือ
And และ
And……too และ….อีกด้วย
And…..also และ…..อีกด้วย
And also และอีกด้วย
As well as และก็, พอๆ กันกับ
And…..as well และ……อีกด้วย
Both….and ทั้ง…….และ
Not only….but also ไม่เพียง…...เท่านั้น แต่…..อีกด้วย
เช่น :- mary is tired and hungry.
แมรี่เหนื่อยและหิว
mary is tired and hungry too.
แมรี่เหนื่อยและหิวอีกด้วย
mary is tired and hungry also.
แมรี่เหนื่อยและก็หิวอีกด้วย
mary is tired and also hungry.
แมรี่เหนื่อยและก็หิวอีกด้วย
mary is tired as well as hungry.
แมรี่เหนื่อยพอๆ กันกับหิว
mary is tired and hungry as well.
แมรี่เหนื่อยและก็หิวอีกด้วย
mary is not only tired but also hungry.
แมรี่ไม่เพียงแต่เหนื่อยเท่านั้น แต่ยังหิวอีกด้วย


1.2 แบบเลือกได้แก่ or และคำที่มีความหมายคล้าย or
(the disjunctive or-type )ที่นำมาใช้เชื่อมเพื่อให้เป็น compound sentence ได้แก่คำ

Or หรือ , มิฉะนั้นแล้ว
Or else หรือมิฉะนั้น
Either….or (อันนี้) หรือ (อันนั้น)
Neither…nor ไม่ (ทั้งอันนี้) และ (อันนั้น)

ตัวอย่าง

-He must go now or will miss the plane.
เขาจะต้องไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นแล้วเขาจะไม่ทันเครื่องบิน

-He must do this or else hell punished.
เขาจะต้องทำสิ่งนี้ หรือ มิฉะนั้นแล้วเขาจะถูกทำโทษ

-Either you or he has to do this.
คุณหรือเขาก็ได้ต้องทำสิ่งนี้

-Neither your friends have to go to school on Sunday.
ทั้งคุณและเพื่อนของคุณไม่ต้องไป ร.ร วันอาทิตย์


3.3 แบบแยกได้แก่ but และคำที่มีความหมายคล้าย but (the adversative but-type)ที่นำมาใช้เชื่อมเพื่อให้เป็น compound sentence นั้นได้แก่คำต่อไปนี้คือ
But แต่
While แต่,ส่วน
Whereas แต่, ด้วยเหตุนี้
Yet ยัง,ถึงอย่างนั้น
Still ยัง, ถึงอย่างนั้น

ตัวอย่าง

- Sombat didn’t work hard but he passed his examination.
สมบัติมิได้เรียน (ทำ) อย่างขะมักเขม้นเท่าไร แต่เขาก็สอบผ่าน

-She is very beautiful while all her sisters are ugly.
หล่อนเป็นคนสวยมาก ในขณะที่น้องสาวทุกคนของหล่อนมีแต่คนขี้เหล่

-Wise men love truth whereas fools shun it.
คนฉลาดรักแต่ความจริง ส่วนคนโง่ชอบหลีกเลี่ยง

-Robert worked well yet he failed.
โรเบิร์ตทำงานดี ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องประสบความล้มเหลว

-The pain was bad still he did not complain.
ความเจ็บปวดนั้นแย่มาก (เจ็บมาก)ถึงกระนั้นเขาก็ไม่บ่น

อนึ่งในกลุ่มหรือแบบ But – type จะนำเอา Conjuntive Adverd (บางตัว)มาใช้ร่วมด้วยก็ได้ ได้แก่คำต่อไปนี้

However = อย่างไรก็ตาม แม้กระนั้น

ตัวอย่าง

-The sun is shinning however I’m sure it rain .

พระอาทิตย์กำลังส่องแสง แม้กระนั้นผมก็ยังแน่ใจว่าฝนฝนยังจะตกอยู่ดี
Nevertheless = อย่างไรก็ตาม แม้กระนั้น

ตัวอย่าง

-There was no news nevertheless she went no hoping
ไม่มีข่าวเลย แม้กระนั้นหล่อนก็ยังหวังต่อไป (ว่าจะมี)


On the other hand = แต่ แม้กระนั้น นิยมใช้กับข้อความที่ขัดแย้งหรือตรงกันข้าม เช่น
>>This shirt is cheap on the other hand its quality is poor
เสื้อตัวนี้ถึงถูกก็จริง แต่คุณภาพของมันสิแย่

For all that = ถึงอย่างนั้น ทั้งๆ อย่างนั้น เช่น
>>Sak says he right for all that tm sure he wrong
ศักดิ์พูดว่าเขาถูกก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดว่าเขาผิดอยู่นั่นแหละ


1.4 แบบเชื่อมความซึ่งเป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกัน ได้แก่ so และคำที่มีความหมายคล้าย so the Illative so- type ได้แก่คำต่อไปนี้คือ
So ดังนั้น
For เพราะ, เพราะเหตุว่า
Therefore ดังนั้น
Consequently ดังนั้น
Accordingly เพราะฉะนั้น

ตัวอย่าง

-So : it s time to go so let start our journey.
ถึงเวลาไปแล้ว ดังนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว

-For : I went in for the door was open.
ผมเข้าไปข้างใน เพราะประตูเปิดไว้

-Therefore : he was found guilty ; Therefore he was imprisoned.
ได้พบแล้วว่าเขามีความผิด ดังนั้นเขาจึงถูกจำคุก

-Consequently : chat was sick ; Consequently , he didn’t go to school.
ชาติไม่สบาย เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ไปโรงเรียน

อ้างอิงจาก เว๊ปนี้เลยนะคร้าฟฟฟ ^^ =>กดตรงนี้ แล้วจะไปสู่เว๊ปข้อมูลนะคร้าฟ

Sentence Writing



Sentence Pattern 1

Subject & Verb

I go

He buy

She make

drink

You come



Sentence Pattern 2

Subject + Actionverb + Direct  Object.


I go to the market at 03.00 pm

He buy red car in the showroom

She make a cupcake in the kitchen

drink orange juice in the garden 

We ran to the town 

Grammar for Writing


On  the  Road

        Matthew  and  Rudolf  Louis (Jenny)  are(is)  migrant  farm  workers.  Every  summer (Winter),  they(She)  drive(drove)  up  the  coast  of  California  to  Oregon  to  work  in  apple  orchard.  Their  1268  pickup  doesn't  go  very  fast,  so  it  takes  the  several  days  to  get  there.  
            First,  they(She)  pack  the  truck  with  their  clothes,  a  tent,  and  some  food.  Then,  they(She)  jump in  the  truck, turn  on  the  radio, and  make(made)  themselves comfortable. Their  dog  goes  with  them,  but  it  sits  in  the  back  of  the  truck.  They(She)  don’t stay  in  hotels.  They  camp  in  parks  on  the  way.  
They(She)  don’t  eat  dinner  in  restaurants. Instead  they(she)  cook  for  themselves. They(She)  arrive  at  their  first  orchard  in  a  few  days.  They(She)  find  themselves  a  place  to  camp  and  get  ready  for  the  next  day’s  work.


วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ส่วนประกอบ Dictionary page

ส่วนประกอบของ Dictionary page



ซึ่งจากรูปภาพที่ผมได้นำเสนอส่วนต่างๆ มีดังนี้

Headword คำหลักคำหัวบทแทรกหรือบางครั้งคำพูดติดปากคือคำที่อยู่ภายใต้ที่ตั้งของที่เกี่ยวข้อง
world class เป็นการบ่งบอกถึงลักษณะ หน้าที่ ของคำศัพท์นั่นว่าเป็นอะไร เช่น noun , verb , adj.
example using หัวข้อบทเรียน : แนะนำตัวอย่าง (โดยใช้"ตัวอย่างเช่น"และวลีเช่น"ตัวอย่างเช่น")
phonetic เกี่ยวกับเสียงพูด เกี่ยวกับการออกเสียง ซึ่งมีการออกเสียงตรงกัน
definition  คำจำกัดความ คำนิยาม การกำหนด ความหมายมากกว่า 1 ความหมายก็ได้

ขอจบการนำเสนอไว้เพียงเท่านี้นะครับ
ขอขอบคุณที่ติดตามชม 
^^


วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Home work "Prefixes, Suffixes & Roots" ^0^


Words Analysis (Prefixes, Suffixes & Roots)

 Guessing meaning from word analysis
การเดาความหมายคำศัพท์จากบริบทโดยการวิเคราะห์คำ

           การเรียนศัพท์จากการวิเคราะห์คำ(word analysis)นั้นเป็นการเรียนศัพท์ที่ถูกต้องทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถจำศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจคำศัพท์ใหม่ได้ไม่ยากนัก เพราะผู้เรียนเข้าใจถึง รากคำ (root)อุปสรรค(prefixes) และปัจจัย(suffixes) ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษแล้ว เมื่อเจอศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนก็จะสามารถเข้าถึงความหมายของศัพท์นั้นได้ขอแนะนำการเรียนศัพท์ที่ถูกต้องโดยใช้หลักการวิเคราะห์คำ ก่อนอื่นมารู้จักคำว่าหน่วยคำกันเสียก่อน
    
             หน่วยคำ (Word Parts) คือคำหรือส่วนของคำที่เล็กที่สุดแต่มีความหมาย ในคำ ๆ หนึ่งอาจมีได้มากกว่าหนึ่งหน่วยคำ หน่วยคำมี 3 ประเภทใหญ่ดังนี้
    Prefixes (อุปสรรค)คือ ส่วนของคำที่อยู่หน้าคำบ่งบอกความหมายของคำ 
   Suffixes (ปัจจัย) คือ ส่วนของคำที่อยู่ท้ายคำบ่งบอกความหมายและหน้าที่ของคำ
   Root (รากคำ) คือ ส่วนที่เป็นความหมายหลักของคำ อาจอยู่ที่ตำแหน่งใดของคำก็ได้
1. อุปสรรค (prefix) อุปสรรค (Prefix) คือหน่วยที่เล็กที่สุดของความหมายในภาษา  และ  ไม่สามารถอยู่ลำพังได้  เป็นส่วนที่เติมหน้ารากศัพท์ (root or stem) เพื่อเพิ่มหรือเปลี่ยนความหมายของรากศัพท์นั้น โดยจะไม่เปลี่ยนหน้าที่ของรากศัพท์  ดังนั้นคำที่เกิดขึ้นใหม่ส่วนใหญ่จะมีหน้าที่เหมือนเดิมแต่มีความหมายเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนไป เช่น
-  เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม
-  เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี   ดีขึ้น   แย่ลง 
หรืออาจจะเติมหน้ารากศัพท์เพื่อ บอกทัศนคติ ตำแหน่งที่ตั้ง ลำดับที่ จำนวน    
อุปสรรคที่สำคัญมีดังนี้
1.   อุปสรรค  (Prefixes)  ที่มีความหมายในเชิงปฏิเสธ  "No" หรือ "Not" เช่น
อุปสรรค          ความหมาย                  ตัวอย่างคำ
un                    not                               unfair
in                     not                               inconvenient
im                    not                               impossible
2.   อุปสรรค  (Prefixes)  สถานที่   ตำแหน่ง  (Placement)  เช่น
อุปสรรค          ความหมาย                  ตัวอย่างคำ
inter                 among                         international
ex                    out                               exclude
sub                   under                           subtitle
3.    อุปสรรค  (Prefixes)  ที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับเวลา  (Time)  เช่น
อุปสรรค          ความหมาย                  ตัวอย่างคำ
pre                   first                              pre-school
pro                   for,  before                   pro-America
post                  after                             post-graduate
4.     อุปสรรค  (Prefixes)  ที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับจำนวนเลข  (Number)  เช่น
อุปสรรค          ความหมาย                  ตัวอย่างคำ
tri                     three                            tri angular
uni                   one                              unify
ตัวอย่างเช่น
อุปสรรค(prefix)  +
รากศัพท์ (Root)
=       คำใหม่(New word)
1. fore - (ก่อน)   +
tell (บอก)     
=    foretell (ทำนาย)
2. miss - (ผิด)     +
lead (นำ)
=   mislead (นำไปในทางที่ผิด)
3. en (ทำให้)       +
danger (อันตราย)
=   endanger (ทำให้เป็นภัย)
4. contra (ต่อต้าน,ปะทะ) +
dict (พูด)
=   contradict (ปฏิเสธ)
5. over (เหนื่อย)   +
head (ศีรษะ)
=  overhead (เหนือศีรษะ)

2. Root or Stemรากศัพท์ (Root or Stem) เป็นส่วนที่แสดงถึงความหมายพื้นฐานหรือความหมายหลัก (Basic Meaning) ของคำ เมื่อเติม Prefix หรือ Suffix เข้าไปแล้วก็จะเป็นคำขึ้นมา โดยที่ความหมายของรากศัพท์ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนความหมายไป  รากศัพท์  (roots)  เป็นส่วนที่เป็นฐานของคำและเป็นตัวหลักเพื่อสร้างคำอื่น ๆ  เพิ่มขึ้น  และรากศัพท์เป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีก  รากศัพท์อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนเลข (Numbers)  การวัด (Measurement)  การเคลื่อนไหว (Motion)  การกระทำ (Action)  ความรู้สึก (Senses)  คุณภาพ (Quality)  กฎหมาย (Law)  และสังคม (Social)  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับจำนวนเลข  (Numbers)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
semi                             one half
mono                           one
bi                                 two
cent                              hundred
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการวัด (Measurement)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
graph / graphy             a device to write or record     
meter                           a device to measure
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Motion)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
vent                             to come
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการกระทำ (Action)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
stat / stit / sist               to stand up
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับความรู้สึก (Senses)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
voc /  vok                    voice;  to call
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับคุณภาพ (Quality)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
clar                              bright
dur                               hard; strong
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับกฎหมาย (Law)  และสังคม (Social)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
ver                               true; to prove
civ / cit                         city; government
cert                              to be sure or certain; approve
ตัวอย่างเช่น
1. contort   = con (ร่วมกัน, ด้วยกัน) เป็น prefix + tort (บิด) เป็นรากศัพท์
ดังนั้นความหมายของ contort   คือ ทำให้คด, งอ, บิด
2. torsion = tors (บิด) เป็นรากศัพท์ + ion (การ,ความ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของ torsion จึงมีความหมายว่า "การบิด"
3. irremovable = ir (ไม่) เป็น prefix + remove (เคลื่อนย้าย) เป็นรากศัพท์
+ able (สามารถ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของคำ irremovable จึงมีความหมายว่า "เคลื่อนย้ายไม่ได้"
4. circumlocution = circum (รอบๆ)เป็น  prefix + locu (พูด) เป็นรากศัพท์ + tion
(การ , ความ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของ circumlocution จึงมีความหมายว่า "การพูดจาแบบอ้อค้อม"
5. triarchy = tri (สาม)เป็น prefix + archy (การปกครอง) เป็นรากศัพท์
ดังนั้น triarchy จึงมีความหมายว่า "การปกครองโดยคน 3 คน "

3. ปัจจัย (Suffix)          ปัจจัยคือส่วนที่เติมหลังรากศัพท์มักจะเปลี่ยนความหมายและหน้าที่ของคำด้วย  หรือเป็นส่วนหนึ่งของคำที่อยู่ข้างหลังคำหลัก (Base words)  หรือรากศัพท์  (Roots)  โดยทั่วไป  ปัจจัย  (Suffixes)  ช่วยชี้แนะชนิดของคำ  (Parts of speech)  เช่นการเติมปัจจัย  -er ,  -ist ,  -or  หลังคำหลัก  และทำให้คำหลัก (Base words)  เปลี่ยนชนิดของคำเป็นคำนาม
ประเภทของปัจจัย  (Suffixes)  สรุปได้ดังนี้
1.    ปัจจัยที่ทำให้กริยาเป็นคำนาม  คือ  ปัจจัยที่เติมหลังคำกริยา  แล้วเปลี่ยนคำหลักเป็นชนิดของคำนาม  เช่น
ปัจจัย               ตัวอย่างคำ                   ความหมาย                              
ation                combine                       combination
ment                payment                       payment
er                     paint                            painter
al                     propose                                    proposal
2.    ปัจจัยที่ทำให้คุณศัพท์เป็นคำนาม  คือ  ปัจจัยที่เติมหลังคำคุณศัพท์  แล้วเปลี่ยนเป็น
ชนิดของคำนาม  เช่น 
ปัจจัย               ตัวอย่างคำ                   ความหมาย      
ness                 kind                             kindness
ce                     absent                          absence
ism                   human                         humanism
3.    ปัจจัยที่ทำให้คำนามเป็นคุณศัพท์  คือ  ปัจจัยที่เติมหลังคำนาม  แล้วเปลี่ยนเป็นชนิด
ของคำศัพท์  เช่น 
ปัจจัย               ตัวอย่างคำ                   ความหมาย      
ful                    success                                    successful
ish                    selfish                          selfish
4.    ปัจจัยที่ทำให้คำกริยาเป็นคุณศัพท์  คือ  ปัจจัยที่เติมหลังคำกริยา  แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดของคำคุณศัพท์  เช่น
ปัจจัย               ตัวอย่างคำ                   ความหมาย      
ing                   amuse                          amusing
able                  remark                         remarkable
ive                   creat                             creative
  1. ปัจจัยที่ทำให้คุณศัพท์เป็นกริยาวิเศษณ์  คือ  ปัจจัยที่เติมหลังคำคุณศัพท์  แล้วเปลี่ยนเป็นชนิดของคำกริยาวิเศษณ์    เช่น
    ปัจจัย               ตัวอย่างคำ                   ความหมาย    
    ly                     private                         privately
  2. ปัจจัยที่ทำให้คุณศัพท์เป็นกริยา คือ  ปัจจัยที่เติมหลังคำคุณศัพท์  แล้วเปลี่ยนเป็นชนิด ของคำกริยา  เช่น
    ปัจจัย               ตัวอย่างคำ                   ความหมาย    
    ize                    civil                             civilize
    en                    bright                           brighten
  ตัวอย่างเช่น
คำ(Word )        +
ปัจจัย (Suffix)
คำใหม่(New word)
1.kind (adj)      +
ness
=  kindness (noun)
2. assist (verb) +
ant
=  assistant (noun)
3.danger (noun)+
ous
=  dangerous (adjective)
4. use (verb)    +
ful
=  useful(adjective)
5. instant (noun)+
ly
=  instantly (adverb)


คำศัพท์ที่ใช้ [in-, im-, il-, ir-]
[in-]
in + accessible = inaccessible (adj.)
access (v.) คือ "เข้าถึง" ครับ accessible (adj.) เป็นรูปคำคุณศัพท์ของเจ้าตัวนี้
เจอพี่ in- มาอยู่ข้างหน้า เลยแปลว่า "เข้าไม่ถึง" หรือ "ไม่สามารถเข้าถึงได้"  ว๊า แย่จัง..


in + accurate = inaccurate (adj.)
คำนี้แปลว่า "ไม่ถูกต้อง" ครับ (มาจาก accuracy (n.) ความถูกต้อง แม่นยำ) 
มีเพื่อนสนิทคือคำว่า incorrect (adj.) แปลว่า ไม่ถูกต้องเช่นกันครับ


in + effective = ineffective (adj.)
สมุน: "หัวหน้าครับ พวกเราไม่สามารถจับตัวมันมาได้ครับ"
หัวหน้า: " เฮ๊อะ พวกแกมันไร้น้ำยา ineffective สิ้นดี!"

ใช่แล้วครับ effective (adj.) แปลว่า มีประสิทธิภาพ 
ใส่ in- เข้าไปก็ไร้น้ำยาทันที ไม่มีประสิทธิภาพซะเลย


in + complete = incomplete (adj.)
อะไรที่มันยังไม่เสร็จสิ้น ไม่สมบูรณ์ ก็ใช้คำนี้แหละครับ ^^


individual (adj./n.)
คำนี้มองไปถึงรากศัพท์ของมันครับ เกิดจาก prefix in- รวมกับ
คำที่ทำหน้าที่เป็น base (ในที่นี้คือ dividual) มาจากรากเดิมคือ divide ที่แปลว่า "แบ่ง"
เลยแปลว่าออกมาได้ว่า อะไรที่เป็นปัจเจกบุคคล คนเดียว ไม่แบ่ง เชิ่ดๆ ครับ ฮ่าๆๆๆ

 

[im-] 

im + balance = imbalance (n.)
คำนี้ได้เดาได้ง่ายๆเลยครับ balance ก็คือ สมดุล เท่าเทียมกัน
(บา-ล๊าน ตามภาษาบ้านเรานั่นเอง ฮ่าๆ)

ในภาษาอังกฤษออกเสียง (แบ-เลิ่นซ์) imbalance ก็คือ อะไรที่ไม่สมดุล ไม่พอดีกัน


im + maturity = immaturity (n.)
คำนี้ถ้าเป็น adj. จะเขียนว่า immature ครับ มาจาก mature / maturity
(หม่ะ-เชอร์ / หม่ะ-เชอ-หริ-ถิ) แปลว่า มีความเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล มีวุฒิภาวะ
ใส่ im- เข้าไปก็เหมือนทำตัวเป็นเด็กๆครับ "ขาดวุฒิภาวะ"


im + possible = impossible (adj.)
โอ้วว คำนี้ยอดฮิตเลยนะเนี่ย possible = เป็นไปได้ครับ
impossible ก็ เป็นไปไม่ได้น่ะสิ
(ดึม ดึม ดือ ดื๊อ ดึม ดึม) เปิดเพลงประกอบ Mission Impossible :P


im + mobilize = immobilize (v.)
ดูที่คำว่า mobile ก่อนครับ มันแปลว่าอะไรที่เคลื่อนที่ได้ (อย่าง mobile phone นั่นไง)
mobilize (v.) คือเคลื่อนที่ เคลื่อนพล(ในทางทหาร) หรือ มีการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง
ใส่ im- เข้า ทุกอย่างก็หยุดเลยครับ แน่นิ่ง ไม่ขยับไปไหน  

J.K. Rowling เองก็ใช้คำนี้มาดัดแปลงเป็นชื่อคาถาเท่ๆใน Harry Potter ครับ

ผู้เสพความตาย: ฮ่าๆๆๆ (มัวแต่หัวเราะ)
เฮอร์ไมโอนี่: 
Immobulus!!
ผู้เสพความตาย: เฮือกก.. (ขยับไม่ได้)  
เฮอร์ไม่โอนี่: ครุคริๆ


im + polite = impolite (adj.)
polite คือ สุภาพ อ่อนน้อมครับ พอเป็น impolite ปุ๊ป  เดี๋ยวโบกกก  



[il-] 

il + legal = illegal (adj.)
legal (adj.) คืออะไรที่ถูกต้องตามที่กฏหมายว่าไว้ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรที่ illegal ก็เตรียมตัวไปเที่ยว Hong Kong (ห้อง กง) ได้เลย อิๆ


il + literate = illiterate (adj.)
ยาย: ไอ้หนู โตป่านนี้แล้ว ทำไมยังอ่านไม่ออก เขียนหนังสือก็ไม่ได้ ห๊ะ!
ไอ้หนู: เบาะแบะๆ บลาๆๆ งุงิๆ
ยาย: So illiterate... (งอน แล้วเดินไปตำหมากหลังบ้าน อย่างไม่แคร์สื่อ)

literate (adj.) มาจาก literacy (n.) ครับ หลายๆครั้งจะมีการทำสถิติสำรวจ
literacy rate ตามประเทศต่างๆ ซึ่งก็คือ อัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรในประเทศนั้นๆ
พอใส่ il- เข้าไปก็เลยแปลว่า อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซะเลย



[ir-] 

ir + regular = irregular (adj.)
regular แปลว่า ปกติ สม่ำเสมอ ครับ พอใส่ prfix ตัวนี้เข้าไปก็เลยแปลว่า ผิดปกติ

ถ้าใครจำ Verb ในภาษาอังกฤษได้ว่า verb จะสามารถแบ่งเป็น
กลุ่มปกติ (เพราะเติม -ed) กับกลุ่มไม่ปกติ (เพราะเปลี่ยนรูป)

1. 
regular verbs: walk walked walked / study studied studied
2.
 irregular verbs: go went gone / drink drank drunk


ir + rensponsible = irresponsible (adj.)
responsible เฉยๆ แปลว่า รับผิดชอบครับ irresponsible ก็คือ ขาดความรับผิดชอบ


ir + relevant = irrelevant (adj.) ถ้าใครรู้จักคำว่า relate (v.) ก็น่าจะเดาคำนี้ได้นะครับ relate แปลว่าเกี่ยวข้อง
คำว่า relative (n.) แปลว่า ญาติๆของเรา (คนที่เกี่ยวของกับเรา)
relevant (adj.) ก็แปลว่า เกี่ยวข้อง ครับ
งานนี้ irrelevant ใครไม่เกี่ยวก็ถอยปายยย...